หลังจากที่หายไปเนิ่นนานในการที่จะได้พูดถึงหนังดีๆซัก
เรื่องในช่วงเวลาที่มีหลายๆ
สิ่งมากระทบกระแทกใจให้บอบช
้ำกันเป็นระยะๆทั้งเรื่องโศ
กนาฎกรรมธรรมชาติ หรือการเมืองเข้มข้นนี้ วู้ดดี้ได้มีโอกาสไปสดับชมภ
าพยนตร์ดีๆอีกหนึ่งเรื่องจา
กทางฝั่งอเมริกา ให้เกิดอาการคันหัวคันปาก อยากจะเอามาเล่าให้ทุกๆคนได
้รับรู้กัน เรื่องที่ว่านั้นก็ตามที่ได
้พูดถึงหัวเรื่องไว้แล้วก็ค
ือ The Lincoln Lawyer หรือชื่อไทยที่ว่า “พลิกเล่ห์ ซ่อนระทึก”
ที่ผมได้ขึ้นหัวข้อได้ดูรุนแรงเกินกว่าที่คนในอาชีพ ทนายความอันเป็นตัวเอกของเรื่องๆนี้จะรับได้ ก็ขอพูดไว้ ณ ช่วงจรดปากกานี้ได้เลยว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูกหรือว่าตั้งใจจะโจมตีอะไรกับอาชีพที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีรายได้อันดับหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา (มากกว่าประธานาธิบดีด้วยซ้ำ) แต่อยากจะพูดในเชิงที่จะชื่นชมในฝีไม้ลายมือในเสาะแสวงหาและใช้หลักฐานมาผนวกกับคำพูดที่พูดจาทั้งโจมตีและตะล่อมพยานของฝ่ายรัฐ พร้อมทั้งพูดจาหว่านล้อมให้คณะลูกขุนที่เป็นตัวหลักสำคัญในการร่วมตัดสินกับผู้พิพากษาให้เสนอคำตัดสินที่เป็นผลดีต่อลูกความของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าโดยแท้จริงแล้ว ตัวลูกความได้กระทำผิดจริงหรือไม่จริงอย่างที่ถูกกล่าวหาไว้ ซึ่งตัวพระเอกที่รับบทโดย Matthew McConaughey ได้ยึดมั่นต่อหลักการณ์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในเรื่องพระเอกได้รับการโจษจันว่าเป็นทนายจำเลยมือหนึ่งที่บรรดาอาชญากรตัวร้ายทั้งหลาย คอยเรียกร้องมาว่าความให้ เพราะจากสถิติเปอร์เซนต์อันสวยหรูที่ว่าความแล้วมักจะลงเอยด้วยการที่อาชญากรทั้งหลายได้รับการปล่อยตัวหรือว่าลดโทษลงอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับลีลาการว่าความอันเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวยิ่งคอยขับดันให้ทนายความหนุ่มผู้นี้ดูเท่เสียนี่กระไร แม้จะมีเสียงกร่นด่าทอจากบรรดาอัยการรัฐที่แน่นอนต้องไม่ค่อยพึงพอใจกับผลที่ทนายความจำเลยทั้งหลายพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะยกเหตุผลมาแก้ต่างให้กับลูกความของเค้าได้ แต่สุดท้ายคนเราก็ย่อมเกิดความผิดพลาดในอาชีพการงานได้ เมื่อพระเอกได้มาตัดสินใจว่าความให้เพลย์บอยหนุ่มผุ้ที่ถูกกล่าวหาในคดีข่มขืนและทำ ร้ายร่างกาย ซึ่งรับบทโดย Ryan Phillippe (ดาราดังจากเรื่อง Cruel Intention ในสมัยก่อน อยากบอกว่า หน้าเด็กเหมือนเดิม ทั้งๆที่อายุอานามปาไป 45 ได้แล้วมั้ง – เดาว่าน่าจะใช้บริการ วุฒิศักดิ์ เป๊ะจริงๆ) เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างคดีที่ผ่านๆมาตรงที่ว่า ยิ่งได้ทำการขุดคุ้ยคดีเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเค้าและคนรอบข้างของเค้าเริ่มมีอันตรายเข้ามาหาเรื่อยๆนะซิ ขอจบเรื่องเกี่ยวกับหนังไว้แค่นี้ดีกว่า เพราะว่ากลัวจะทำให้คนที่ยังไม่ได้ดู อาจจะเสียอรรถรสในการชมไป
ที่พูดมาเยอะเนี่ย เรามาพูดถึงเรื่องที่ว่าทำไมอาชีพทนายในสหรัฐถึงได้เป็นอาชีพทีมีรายได้สูงสุดถ้าเทียบกับอาชีพอื่นๆดีกว่า ถ้าได้ชมภาพยนตร์มาแล้วจะเห็นได้ว่า มีตอนนึงที่พระเอกได้แจ้งค่า ตัวให้กับทางลูกค้าว่า คิดค่าตัวเป็นชั่วโมงละ 550 ดอลลาร์ ขึ้นศาลคิดอีกราคานึง รับก่อนล่วงหน้า หนึ่งแสน ถ้าอุทธรณ์ถือว่านับใหม่ บลาบลาบลา ฟังแค่นี้ บรรดาขนทุกๆส่วนในร่างกายก็พร้อมเพรียงกันทะยานพุ่งขึ้นชี้ฟ้าแล้วครับ ขี้หมูขี้หมา ก็น่าจะได้รับเหนาะๆไม่ต่ำกว่า แสนดอลลาร์แล้ว ชนะคดีหรือไม่ชนะก็ไม่รู้ แต่ค่าใช้จ่ายก็คือค่าใช้จ่าย ยังไงก็ต้องจ่ายให้ครบ ทำไมครับ ทำไมคนเราถึงเลือกที่จะจ่ายเงินก้อนมหาศาลที่แทบจะซื้อรถคันย่อมๆให้แก่คนๆนึงได้เลย เพื่อแลกกับอิสรภาพที่จะได้กลับมา นั่นก็เพราะว่าระบบกฎหมายที่เอื้ออำนวยให้อาชีพๆนี้ สามารถใช้ความสามารถเฉพาะตัวในสายอาชีพ หาช่องโหว่ทางกฎหมาย และหลักฐานที่มีน้ำหนักมาพอ มาโน้มน้าวจิตใจของผู้ตัดสินให้ลงดาบตัดสินให้ฝ่ายตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบได้ โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าตัวจำเลยได้กระทำความผิดจริงหรือไม่ แต่อยู่ที่หลักฐานที่แก้ต่างต่างหากว่ามีน้ำหนักมากแค่ไหน ระบบกฎหมายที่พูดถึงนี้เป็นระบบที่ชื่อว่า ระบบกฎหมายแบบคอมมอนลอว์ (Commom Law) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันในประเทศแถบ อังกฤษ อเมริก แคนาดา รวมถึง ออสเตเรีย โดยที่ระบบกฎหมายนี้จะให้น้ำหนักในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่มีมาก่อนเป็นอย่างมาก บนแนวคิดซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการอยุติธรรมหากตัดสินดำเนินคดีต่อข้อเท็จจริง ที่คล้ายคลึงกันในโอกาสที่ต่างกัน ทำให้การตัดสินคดีตาม "คอมมอนลอว์" ผูกมัดการตัดสินคดีในอนาคตตามไปด้วย ในกรณีซึ่งมีกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว ศาลคอมมอนลอว์ที่เหมาะสมที่สุดจะตรวจสอบการตัดสินคดีที่ผ่านมาของศาลที่มี ลักษณะใกล้เคียงกัน หากข้อพิพาทที่คล้ายคลึงกันได้รับการแก้ไขแล้วในอดีต ศาลจะถูกผูกมัดให้ตัดสินคดีตามการให้เหตุผลซึ่งใช้ในการตัดสินคดีครั้งก่อน ๆ อย่างไรก็ตาม หากศาลพบว่าข้อพิพาทในปัจจุบันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับการตัดสินดคีใน อดีตทั้งหมด ผู้พิพากษาจะมีอำนาจและหน้าที่ที่จะสร้างกฎหมายโดยการริเริ่มเป็นแบบอย่าง ภายหลังจากนั้น การตัดสินคดีครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างแก่การตัดสินคดีครั้งต่อไป ซึ่งศาลในอนาคตจะต้องยึดมั่นต่อไป พูดกันง่ายๆ ก็อย่างที่เอ่ยไว้ข้างต้นแล้วว่า ถ้าสามารถชักจูงหรือเอาข้อมูลมาแก้ต่างให้ทางจำเลยได้ จนศาลและคณะลูกขุนตัดสินคดีจนสิ้นสุดแล้ว ก็อาจจะมีผลเป็นตัวอย่างในคดีที่คล้ายๆกันได้อีกด้วย ผิดแปลกจากระบบกฎหมายของบ้านเราที่เรียกกันว่า ระบบซีวิลลอว์ (Civil Law) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสมัยโรมัน ที่จะต้องมีประมวลกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และศาลจะต้องพิพากษาตามตัวบทกฎหมายนี้ โดยที่ไม่สนว่าที่ผ่านๆมาได้ตัดสินกันว่าอย่างไร (เพราะว่าตัวบทกฎหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสมัย) แต่ระบบ ซีวิลลอว์นี้ก็มีการปรับนำเอาระบบขนมธรรมเนียมประเพณีแต่ละท้องถิ่นใส่ลงไปด้วย เพื่อที่จะได้เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ โดยที่ไม่ต้องอิงจากประเทศอื่นๆ และประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบนี้ก็คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น (นีมันฝ่ายอักษะ สมัยสงครามโลกครั้งที่สองทั้งนั้นเลยนี่หว่า)
ทั้งสองระบบนี้ถือว่าเป็นระบบกฎหมายหลักๆในโลกกลมๆใบนี้ครับ แต่ยังไม่นับถึงพวก กฎหมายศาสนาในประเทศที่เคร่างมากๆเช่นพวกอิสลาม อัฟกานิสถาน หรือ ระบบผสมผสานทั้งกฎหมายปกติและศาสนา เช่น มาเลเซีย แต่ยังไงก็ตามครับ การอยู่รวมกันในสังคมหมู่มาก ก็จำเป็นที่จะต้องมีไม้บรรทัดไว้ขีดเส้นให้คนเดินตามในรูปแบบที่เห็นชัดที่เรียกว่าระบบกฎหมาย เพื่อที่ว่าทุกคนๆจะสามารถอยู่รวมกันได้อย่างเหมาะเจาะเหมาะสม แน่นอน มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ตัวกฎหมายจะถูกตาต้องใจคนทุกๆคนได้ เพราะว่ามันมีทั้งผู้ที่เสียประโยชน์และได้ประโยชน์จากคำตัดสิน แต่ผมเชื่อครับ ถ้าทุกๆคนนำเอาหลักศาสนาทั้งหลายมายึดมั่นในการดำเนินชีวิตด้วย การดำรงชีวิตในสังคมของเราจะต้องน่าอยู่ขึ้นอย่างแน่นอน จำไว้นะครับ คนผิด แม้นว่าจะไม่ได้รับบทลงโทษในแบบรูปธรรมก็ตาม แต่ความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจของเค้า ก็จะคอยทิ่มแทงให้รู้สึกแสบๆร้อนๆไปอยู่ตลอดละครับ หรือว่านี่อาจจะเป็นรากฐานของคำว่า กฏแห่งกรรม ก็เป็นได้
บาป บุญ คุณ โทษ
วู้ดดี้ เกิดมาเล่า
15 May 2011
ห่างหายไปนาน T_T
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น