วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ธรรมะ ทำไม่ยาก (อ้างอิงจากหนังสือ “สงสัยมั้ย ? ธรรมะ” ของ Chayajit)


ข้าพเจ้า นายวู้ดดี้ ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่า โดยตามตรงแล้วไม่ได้เป็นคนที่อินหรือว่ามุ่งเน้นเข้าหาทางสายธรรมอันบริสุทธิ์เท่าที่ควรตามหลักที่ถูกผู้หลักผู้ใหญ่พร่ำสอนมาทั้งชีวิต แต่เหตุบังเอิญอะไรหลายๆอย่างมันบรรจบมวลรวมมาให้นั่งอยู่หน้าหนังสือเล่มนึงที่สะดุดตาสะดุดใจทันทีที่ปรายตาไปมองมันเข้า ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นของหน้าปกที่รู้สึกว่าสะกิดต่อมคุ้นเคยอย่างทุกครั้งเพราะว่าเป็นลายเส้นของนักเขียนการ์ตูนในดวงใจนาม “เดอะดวง” หรือจะเป็นสีสันของปกที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นหนังสือธรรมะปกติที่ยามหยิบจับขึ้นมาเมื่อไร ต่อมความกระตือรือร้นจะถูกก้อนเนื้อที่ถูกเรียกว่าความง่วงเข้ามาแทนที่ทันที แต่มุมมองภาพลักษณ์ดูน่าอ่านและสามารถจะอ่านจบได้ในเวลาไม่นาน เหมาะกับสถานการณ์ช่วงที่ต้องรออะไรซักอย่างอยู่นั่นเอง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้นสติสัมปัญชัญญะในการใช้เงินก็ขาดสะบั้นพร้อมมือที่กำเงินมูลค่า 150 บาท เพื่อแลกกับความสุขทางใจมานั่นเอง ไม่เสียดายกับสิ่งตอบแทนที่ทางผู้เขียนและผู้วาด (เรียกงี้ละกัน จะได้พ้องกัน) อยากจะนำเสนอให้กับสังคมไทยในปัจจุบันนี้ หนังสือเล่มนี้คงเห็นจากรูปที่เอามาลงให้เห็นแล้วว่า ชื่อ “สงสัยมั้ย ? ธรรมะ”

จากที่อ่านจบไปแล้วสิ่งแรกที่คิดในใจเลยว่า คนเขียนคนนี้ต้องได้บุญมหาศาลอยู่เหมือนกัน คิดง่ายๆว่าการที่ถ่ายทอดเรื่องธรรมะให้บุคคลผู้อื่นก็ถือว่าเป็นบุญอันประเสริฐเท่าไหร่แล้ว แต่นี่คิดที่จะส่งผ่านต่อเข้าไปในสมองก้อนย่อมๆของวัยรุ่นไทยเนี่ย ผมว่าอันนี้ซิเจ๋ง เพราะมีหลายครั้งที่มองว่า การสอนธรรมะให้ผู้ที่รู้อยู่แล้วมันจะมีผลดีมากกว่าการที่พยายามสอนให้ผู้ที่ยังไม่รับรู้มากเท่าที่ควรกว่ารึเปล่า ถ้าพูดตามหลักการตลาดเปรียบเสมือนกันเปิดกลุ่มเป้าหมายใหม่ เปิดตลาดใหม่เพื่อให้ลองสินค้าของเรา ส่วนกลุ่มเดิมก็ยังมีสินค้าตัวเก่าที่ยังคงมีศักยภาพเพียงพอที่จะดึงให้กลุ่มเป้าหมายเดิมนั้น ไม่คิดเปลี่ยนใจไปได้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าการที่เริ่มให้วัยรุ่นไทยได้ลองเสพธรรมะที่เริ่มจะห่างหายไปจากสังคมปัจจุบัน ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและโดนใจ คงจะทำให้วัยรุ่นไทยไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านหรืออคติ พร้อมทั้งไม่รู้สึกเก้อเขินที่จะปฎิบัติหรือบอกต่อให้หมู่เพื่อนๆทำตามด้วย ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้คงไม่ได้คาดหวังขนาดที่จะต้องเป็นคนดีปานจะบรรลุโสดาบันหรอกครับ ขอเพียงแค่ไม่ต้องทำความชั่วมากขึ้นหรือไม่ทำเลยก็น่าอยู่ขึ้นเยอะละครับ

อีกข้อของความชาญฉลาดของผู้เขียนคือมีการพูดถึงปริมาณการได้บุญเปรียบเทียบกับสิ่งที่ลงทุนทำลงไป เพราะว่าคงปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ทุกวันนี้คนเรามองถึงแต่สิ่งที่จะต้องได้รับกลับมาจากสิ่งที่ลงทุนลงไป ผมไม่ได้ตำหนิหรือคิดแง่ลบแต่กลับเป็นเข้าใจในสังคมปัจจุบันที่แก่งแย่งชิงดีกันซะมากกว่า ว่าสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ระดับจิตใจของคนมันลดต่ำลงไปเรื่อยๆแต่จากที่ได้อ่านมากลับลายเป็นว่าการที่จะได้บุญกุศลมากกว่าขั้นตอนใดๆก็ตาม กลับได้มาจากสิ่งที่แทบจะไม่ต้องลงทุนหรือลงแรงอะไรเลย ซึ่งนี่จะเป็นตัวกระตุ้นที่ดีที่จะทำให้คนเราเริ่มที่จะอยากมีธรรมะอยู่ในใจได้ ดังนั้นวู้ดดี้จึงอยากขออนุญาติแบ่งปันเรื่องบางส่วนมากให้อ่านกันดีกว่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การให้ทานที่ดี จะต้องประกอบสิ่งที่ให้ทานต้องบริสุทธิ์ดี เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์ดี แต่แม้นว่าทั้งหมดจะบริสุทธิ์ดีแล้ว ทานนั้นจะมีผลมากหรือน้อยสามารถเปรียบเทียบได้เป็นลำดับดังต่อไปนี้ คือ

1. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับทำทานให้มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลย แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

2. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

3. ให้ทานแก่มนุษย์ที่มีศีล 5 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

4. ให้ทานแก่มนุษย์ที่มีศีล 8 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณร แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

5. ถวายทานแก่สามเณรที่มีศีล 10 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฎิโมกข์สังวร 227 ข้อ แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

6. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

7. ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

8. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

9. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

10. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

11. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

12. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับการถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

13. ถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับการสร้างวัดถวายเป็นวิหารทาน แม้จะได้กระทำแค่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

14. การสร้างวัดถวายเป็นวิหารทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับ “การให้ธรรมทาน” แม้จะให้แค่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (การให้ธรรมทานคือการสอนธรรมะแก่ผู้อื่น ตลอดจนการพิมพ์ แจกหนังสือธรรมะ)

15. การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับ “การให้อภัยทาน” แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม (การให้อภัยทานคือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาต ไม่พยาบาทแม้แต่ศํตรู เป็นการละความโกรธ ออกจากใจ จึงถือว่าเป็นทานที่สูงกว่าทานทั้งปวง)

จากที่พูดมายืดยาวขนาดนี้ ถ้าสังเกตได้จะเห็นว่ายิ่งระดับสเกลของบุญยิ่งสูงขึ้น การลงทุนลงแรงมันเหมือนจะยิ่งน้อยลงๆไปทุกที ยิ่งอันหลังนี่อยู่ที่สภาวะจิตใจของเราเลย เพราะว่าเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรเลย เพราะว่าเราสามารถทำได้ด้วยใจของตนเอง ส่วนที่เหลือ วู้ดดี้อยากให้ไปติดตามต่อในหนังสือเองดีกว่านะครับ เพราะว่ามันยังมีอีกหลายเรื่องที่มันลึกซึ้งมากกว่านี้อีก ส่วนที่นำมาเสนอแค่นี้ถือว่าเบาะๆมาก ยังมีขั้นการได้บุญที่อยู่ในขึ้ นกว่ามากกว่านี้อีก จนถึงขึ้นที่เรียกว่า เจริญวิปัสสนา ซึ่งก็ยังยืนยันว่า ทำได้ไม่ยาก เพราะว่าทุกอย่าง พระพุทธศาสนา สอนให้อยู่ที่จิตใจของเราเอง ควบคุมสติได้ฉันใด ทุกอย่างที่ดีก็จะตามมาฉันนั้น
อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

ฆราวาสวู้ดดี้ เกิดมาเล่า

17 July 2011
หลังวันเข้าพรรษา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More