วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พิษรัก ฤาจะสู้พิษงู - เซรุ่ม (Serum) คืออะไร



จากที่ได้กระแสตอบรับแบบล้นพ้นในเรื่องของงูเขียวน้อยกรีนแมมบ้า กอปรกับทางวู้ดดี้ได้รับปากว่าจะมีบทความมาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของการรักษาโดยการฉีดเซรุ่ม (Serum) จึงยอมหักห้ามใจตัดทอนเวลานอนลงซะหน่อยเพื่อที่จะนำเรื่องที่ติดค้างเอาไว้มาให้รับชมกันก่อน เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเรามาเกริ่นกันเบาๆกันก่อนเรื่องประเภทของพิษงูก่อนดีกว่าว่ามีกี่ประเภทเพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องการรักษาและการทำงานของน้ำยาวิเศษตัวนี้กัน (รับปากว่าจะสรุปแบบเข้าใจง่ายเพราะกลัวว่าจะพาลเบื่อกันซะก่อนเข้าจุดสุดยอด555)

จากบรรดาสัตว์มีพิษทั้งหมดในโลกกลมๆใบนี้ เราสามารถแบ่งประเภทออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆตามอาการของพิษ ซึ่งก็คือ

1. อาการทางระบบประสาท ก็แน่นอนว่าอาการก็จะต้องเกี่ยวกับระบบประสาทแน่ๆ อาการก็จะเป็นจำพวก หนังตาตก พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก รวมถึงหายใจไม่ออก อัมพาตและตายเนื่องจากการหายใจล้มเหลวในที่สุด สมาชิกในกลุ่มแก๊งค์นี้ก็จะมี พระเอกช่วงนี้ เจ้ากรีนแมมบ้า งูจงอาง (พี่ใหญ่) งูเห่า งูสามเหลี่ยม

2.อาการทางระบบโลหิต ในประเภทนี้จะมีอาการปวดบวมที่บริเวณที่ถูกกัดรุนแรงมากกว่าประเภทอื่นและมักมีเลือดออกซึมตามรอยเชี้ยว พูดง่ายๆคือ เหมือนทำให้ระบบเลือดของเราล้มเหลว เกิดภาวะการที่เลือดออกได้ง่าย จะมีทั้งพิษที่ทำให้เกิดเลือดจับตัวเป็นลิ่มในหลอดเลือด จับตัวเป็นก้อนและ พิษที่มีผลทำลายเกล็ดเลือด จนไม่สามารถทำงานได้ อาการก็จะมีเลือดออกตามไรฟัน (ใช้ยาสีฟันชื่อดังก็ไม่หาย) จุดเลือดตามตัว ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดเมื่อยตามตัว จนสุดท้ายมีอาการไตวายเฉียบพลันอันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต สมาชิกก็จะมีพวกงูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ และงูหางกระดิ่ง (เฉพาะบางพันธุ์เท่านั้นที่จะมีผลต่อระบบประสาท)

3. อาการทางระบบกล้ามเนื้อ โอกาสที่จะเจอสมาชิกในกลุ่มนี้ค่อนข้างน้อยเนื่องจากจะเป็นจำพวกงูทะเลชนิดต่างๆ โดยอาการจะแสดงตัวค่อนข้างช้า (บางทีถึง 1 วันเลยก็มี) จะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วไป อัมพาตบางส่วน ปัสสาวะลดลงและสีจะเข้มขึ้น สุดท้ายก็มักจะเสียชีวิตด้วยอาการไตวายหรือการหายใจล้มเหลว เนื่องจากพิษมันไปทำลายเซลล์กล้ามเนื้อ และปล่อยสารออกมาในกระแสเลือด เกิดเป็นการตกตะกอนและอุดตันในไต (ฟังดูซับซ้อนและใช้เวลา)

ระบบในร่างกายที่มีผลต่อพิษงูชนิดต่างๆ

หลังจากที่พอเห็นภาพคร่าวๆเรื่องพิษต่างๆแล้วเราก็มาดูถึงเรื่องของตัวยาที่ใช้ในการรักษากันดีกว่า ซึ่งวู้ดดี้อยากจะพูดถึง เซรุ่มและวัคซีน งงแล้วใช่ไหมครับ ว่ามันมีศัพท์เพิ่มมาอีกตัวได้อย่างไร วัคซีนคืออะไร แล้วมันต่างกันอย่างไร วู้ดดี้จะบอกให้ฟัง

ท้าวความให้เข้าใจกันท้วนหน้าก่อนว่า โดยจริงๆแล้ว ความมหัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้สรรสร้างระบบการป้องกันตัวจากเชื้อโรคที่มีอยู่ทั่วไปอยู่แล้ว โดยที่ร่างกายจะมีระบบภูมิคุ้มกัน (Immune System) ที่จะทำการสร้างเกราะป้องกันเชื้อโรคตัวเดิมที่เคยได้รับการติดเชื้อมาแล้ว เพื่อที่จะได้ไม่เป็นโรคเดิมซ้ำสองอีก หรือที่เราเรียกกันว่า "แอนติบอดี้" ทีนี้เวลาที่เราได้รับสิ่งแปลกปลอมทั้งหลายเข้าไปในร่างกาย รวมถึงพิษด้วย ร่างกายก็ต้องสร้างตัวแอนติบอดี้ขึ้นมาเพื่อที่จะทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น แต่กว่าจะสร้างขึ้นมาได้ ระบบอื่นๆในร่างกายก็คงจะเฉาตายกันไปก่อน เพราะว่าระบบนี้มันช่างกินเวลาซะเหลือเกิน พวกนักวิทยาศาสตร์หัวเส ก็เลยใช้วิธีสกัดเอาตัวสารภูมิคุ้นกันสิ่งแปลกปลอมนั้นมาฉีดใส่ในร่างกายที่ได้รับพิษซะเลย เป็นการลัดขั้นตอนที่ใช้เวลานานมากเกินไป ซึ่งสารที่สกัดมาจากที่อื่นเนี่ย เราก็จะเรียกมันว่า "เซรุ่ม" ส่วนทาง "วัคซีน"  เนี่ยจะแตกต่างกันนิดหน่อย แต่ก็ยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับระบบภูมิคุ้นกันของร่างกายอยู่ดีแต่เปลี่ยนจากที่ฉีดภูมิคุ้นกันโดยตรงเลยมาเป็น ใส่ตัวเชื้อโรคของโรคนั้นๆที่ได้ทำการฆ่าให้ตายหรือทำให้หมดฤทธิ์ไปก่อนแล้วให้ร่างกายของผู้ที่ได้รับวัคซีนค่อยๆสร้างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเอง คือเหมือนว่ามองการณ์ไกลไปแล้วว่าโรคนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่าย ก็ป้องกันตัวใส่เกราะไว้ก่อนเลย โรคพวกนี้ที่ดังๆก็จะมีทั้ง โปลิโอ ไอกรน ไวรัสตับทั้งหลาย รวมทั้งไข้หวัด 2009 ด้วย

ภาพระบบภูมิคุ้นกันง่ายๆในร่างกายเรา : จะเห็นได้ว่ามีขั้นตอนหลายขั้นเหมือนกัน

สรุปง่ายๆถ้าสิ่งแปลกปลอมเหมือนผู้ร้าย ตัวเราเหมือนบ้าน เซรุ่มจะเหมือนว่า เราเรียกตำรวจเข้าไปจับแม่งเลย เวลามันบุกรุกเข้ามาขู่กรรโชก หรือว่าปล้นบ้านเรา แต่วัคซีนจะเหมือนกันว่า เรามีจับตัวผู้ร้ายมันมาตัวนึงแล้วจ้างมันเป็นสปายหรือนกรู้ คอยบอกวิธีป้องกันบ้านเราจากแก๊งค์ของมัน มันจะได้ไม่มาปล้นบ้านเรา พูดแบบนี้แล้วนึกถึงหนัง Godfather จังเลย

จากที่ได้เอ่ยมาแล้วในข้างต้น ว่าเซรุ่มเนี่ย จะถูกสกัดมาจากที่อื่น ซึ่งโดยปกติแล้ว จะถูกสกัดเป็นของเหลวออกมาจากเลือดของสัตว์ที่ได้รับเชื้อโรคหรือพิษที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงแล้ว ปล่อยทิ้งไว้จนร่างกายของสัตว์ตัวนั้นสร้างภูมิคุ้มกันมาได้ สัตว์ผู้โชคดีส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นม้าหรือกระต่าย (เป็นการยืนยันได้ว่า ม้านั้นร่างกายแข็งแรงกว่าเราเยอะ แต่กระต่ายนี่ซิ -_-")

รูปในประวิติศาสตร์ของการผลิตเซรุ่มโดยฉีดเชื้อโรคเข้าไปในม้า
ในประเทศไทยก็จะมีสถานเสาวภานี่ละที่มีทั้งฟาร์มม้าเพื่อทำการนี้โดยเฉพาะ สามารถแวะเข้าไปชมเวปไซค์ของสถานเสาวภาได้ครับ

เซรุ่มพิษงูที่สถานเสาวภาผลิตได้ สังเกตได้ยังไม่มีของกรีนแมมบ้าและงูทะเล T_T

ทิ้งท้ายไว้ก่อนจบว่า ทั้งเซรุ่มและวัคซีนทั้งหลาย ก่อนฉีดเข้าสู่ร่างกาย ยังไงต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะอย่าลืมว่าทั้งสองชนิดถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ถูกนำเข้าร่างกาย ถ้าร่างกายไม่อยู่ในสภาวะที่พร้อม อาจเกิดผลร้ายมากกว่าผลดีครับ อย่างที่บอกว่าการถูกงูกัด ไม่จำเป็นจะต้องรักษาโดยเซรุ่มเสมอไป อาจใช้เป็นการรักษาจุดต่อจุดก็เป็นได้ ทั้งนี้อยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์และอาการของผู้ป่วยครับ ถ้าจะเปรียบเสมือนการทำธุรกิจ ก็คงบอกได้เหมือนกันว่า ทุกอย่างทุกปัญหา มีทางแก้ได้หลายทาง อย่าไปยึดติดที่ทางใดทางหนึ่งแต่อย่างไรก็ตาม ทางแก้ปัญหาแต่ละอย่างที่คิดมา อาจจะต้องทำการทดลอง (Pilot test) หรือปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มาก่อน (Specialist) ก็น่าจะทำให้อุ่นใจกว่าที่จะดุ่มๆเดินหน้าตรางอย่างไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้กันเลยทีเดียว อย่าลืมนะครับ สติและประสบการณ์ ช่วยคุณได้เสมอ (น้ำท่วมก็ช่วยได้ ^_^ )

เรามาสร้างภูมิคุ้มกันกันเหอะ

วู้ดดี้ เกิดมาแอนติบอดี้
13 NOV 2011

PS. จากรูปแรก จะเห็นว่าวงการเครื่องสำอางค์มีการผสมผสานความสวยงามกับเซรุ่มงูได้ด้วย เหมือนเป็นการสอนว่า ความสวยมักคู่กับ "พิษ" 5555

อีกตัวอย่าง ของนวัตกรรมความงาม

Ref:
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/snake/venom.htm
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2549&mul_source_id=003655
http://203.157.15.6/ktext/manualAEFI/aefi_m2.htm
http://www.historyofvaccines.org/content/horse-serum
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhp9U_O_QGzNvvMwBEGBU0KZSITjABFPOHQ8tu0qD4g4Nel9FzGopIfK1O_JhD_Z33ZYHtSkHAIwh6bLx2-7nhMlbQny8c8MkIWgmnxKvERMtWPisBJTEAUZb119Ivfn2jwSr0chwK_tek/s1600/immune+system+work.JPG
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Snake_bite_symptoms.png
http://www.liftake.at/english_information
http://indianews99.com/technology/rodial-glamoxy-snake-serum-is-coming-to-australia-at-myer/
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_toxic/a_tx_1_001c.asp?info_id=104
http://graphictravelsnake.blogspot.com/
http://kanchanapisek.or.th/kp7/science/Snake.html
http://guru.sanook.com/answer/question/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1
http://www.saovabha.com/th/product_serum.asp?nTopic=2

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Green Mamba - งูโลงศพสีเขียวหรือแพะรับปากของความอยากดัง


วู้ดดี้ว่าจากเหตุการณ์น้ำท่วมประเทศในปี 2554 ของเรานี้ มันคงจะเป็นการเชยมากแน่ๆถ้าไม่ได้เอ่ยถึงสิ่งมีชีวิตชนิดนึงในช่วงเวลานี้ ซึ่งถ้าเทียบเป็นดาราคงต้องบอกว่า ดังเป็นพลุแบบชั่วข้ามคืนกันเลยทีเดียว อาจจะเรียกได้ว่า ดังกว่ากระแสชาละวันน้อยที่หลุดออกมาแวะเวียนเยี่ยมชมผู้ประสบภัยกันเป็นหลักร้อยๆตัว แถมเป็นการปลุกกระแสสัตว์เลี้ยงพิเศษ (Exotic Pet) ในตลาดบ้านเรากันเลยทีเดียว ใช่แล้วครับ วู้ดดี้กำลังจะพูดถึง งูเขียวสีสดใส นามว่า Green Mamba นั่นเอง อะอะ อย่าพึ่งครับ อย่าพึ่งคิดว่า วู้ดดี้กำลังจะมา Spoiled  อะไรกับกระแสสัตว์โลกตัวนี้อะไรรึเปล่า สนับสนุนให้คนหามาสัตว์มีพิษมาเลี้ยงหรือว่าอย่างไร แต่แค่มันรู้สึกหนวดกระดิกๆเหมือนมันมีอะไรคาใจอย่างไรไม่รู้ได้ เอาเป็นว่า เรามาทำความรู้จักกัน กรีนแมมบ้ากันก่อนเลยดีกว่า

งู Green Mamba (อ่านว่า กรีน-แมม-บ้า) เป็นงูในสกุล Elapidae โดยแบ่งเป็นสองสายพันธุ์ง่ายๆตามแหล่งที่อยู่อาศัย โดยทางด้านตะวันตกจะเป็นสายพันธุ์ Western Green Mamba (Dendroaspis viridis) และด้านตะวันออกจะเป็น Eastern Green Mamba (Dendroaspis angusticeps) แม้นว่าจะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็มีไม่มากคงจะเป็นเพียงขนาดของสรีระร่างกายเท่านั้นคือทาง Western จะมีขนาดเฉลี่ยที่ใหญ่กว่า คือ 1.8 เมตร แต่ส่วน Eastern จะมีขนาดเพียงแค่ 1.4 เมตรเท่านั้น พบน้อยมากในเคสผิดปกติที่จะเจอขนาด 1.8 เท่ากับทางพี่น้องฝั่งตะวันตก (ทำให้วู้ดดี้เดาว่าที่มีข่าวหลุดในเมืองไทยน่าจะเป็นตัวทางฝั่งตะวันตกมากกว่า) ส่วนเรื่องหน้าตาและพิษก็คล้ายๆกันอยู่แล้วคือ หัวเป็นรูปทรงโลงศพของทางฝรั่งตาน้ำข้าว (ทรงหกเหลี่ยม) อันเป็นสาเหตุให้มีชื่อเล่นแบบเก๋ๆว่าเป็นงูโลงศพไป พิษที่มีผลต่อทางระบบประสาทเหมือนงูเห่า งูจงอางบ้านเรา และไม่มีเซรุ่มรักษาโดยตรงในประเทศไทย!!!

Western Green Mamba

Eastern Green Mamba

จากรูปจะเห็นว่าหน้าตาละเมียดคล้ายกันมา ต่างกันนิดหน่อยที่สีใต้เกล็ดเท่านั้น ซึ่งถ้าสังเกตกันจริงๆก็คงมองกันไม่ออกซักเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่าเห็นหน้าตาที่มันคล้ายๆแบบนี้ เขียวๆแบบนี้ ก็เลือกที่จะหนีห่างจะดีกว่า ถิ่นกำเนิดก็มาไกลเลยเพราะว่ามาจากทวีปแอฟริกาทางโซนด้านใต้ซักหน่อย โดยธรรมชาติก็อาศัยอยู่บนต้นไม้ซะส่วนใหญ่ แต่ที่บอกว่าส่วนใหญ่นี่ไม่ได้หมายความว่าลงพื้นดินไม่ได้นะครับ เพราะว่าถ้าถึงช่วงที่ต้องหาอาหารก็สามารถลงมาล่าเหยื่อได้ทุกภูมิประเทศ
ทำลที่อยู่อาศัยของกรีนแมมบ้าตะวันตก

เรื่องอาหารการกิน ก็เหมือนกับงูต้นไม้ปกติที่หลักๆจะเป็นนกเล็กๆ ค้างคาว แต่ถ้าอาหารขาดแคลนหรือหาอาหารที่เหมาะสมบนต้นไม้ไม่ได้ ก็อาจจะลงมาล่าเหยื่อจำพวกสัตว์ฟันแทะหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กด้วยก็ได้ ส่วนวิธีการจับเหยื่อของมันก็แน่นอนในเมื่อธรรมชาติเลือกที่จะสร้างต่อมพิษที่ร้ายแรงให้มันซะขนาดนี้แล้ว ก็ไม่แปลกที่มันจะเลือกที่จะฉกกัดและฉีดพิษเข้าสู่ร่างกายมากกว่าที่จะรัดให้ขาดอากาศหายใจเหมือนกับงูไม่มีพิษพันธุ์อื่นๆ (ไม่แปลกที่ส่วนมากสรีระของงูพิษจึงไม่ค่อยมีขนาดที่ใหญ่มากเพราะไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากมายนัก ยกเว้นงูจงอางที่ถือว่าเป็นงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีขนาดสูงสุดที่จับได้อยู่ที่ 6 เมตร) พิษของงูกรีนแมมบ้าเป็นพิษที่ทำลายระบบประสาทของร่างกาย มีฤทธิ์ทำให้ร่างกายเหมือนเป็นอัมพาต หายใจไม่สะดวก ลิ้นแข็งและสุดท้ายก็เสียชีวิต เวลาออกอาการจะอยู่ที่ประมาณ 10 นาที ถึงหลายชั่วโมงนับตั้งแต่รับพิษเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งถ้าเทียบกับเพื่อนๆตระกูลอื่น ถือว่าเร็วมาก วิธีการรักษาที่สากลโลกเข้าใจกันก็คือใช้เซรุ่มฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อที่จะให้เข้าไปทำลายพิษในร่างกายและรอให้ร่างกายขับพิษออกมาจนกลับสู่ภาวะปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่ปริมาณพิษที่เข้าสู่ร่างกายอีกนั่นแหละ ว่าจะต้องคำนวนการฉีดเซรุ่มปริมาณเท่าไหร่และต้องตรวจเช็กเรื่องการแพ้โปรตีนม้าอีก (ซึ่งจะพูดให้ฟังหลังจากนี้ในบทความหน้า) หลายๆคนเข้าใจผิดครับ ว่าพอถูกงูกัดแล้วแค่ฉีดเซรุ่มก็หายเลย ซึ่งไม่เป็นความจริงเอาซะเลย เพราะไหนจะต้องคำนวนนู่นนี่ ต้องเช็กว่าร่างกายแพ้หรือไม่ เป็นงูอะไร กัดนานแค่ไหน ร่างกายถูกทำลายไปมากเท่าไหร่ ผมได้เห็นหลายๆคนแล้วเหมือนกันที่ถูกงูกัดแต่ต้องเสียชีวิตไป แม้ว่าจะถูกฉีดเซรุ่มไปเป็นสิบๆขวด เพราะเซรุ่มไม่สามารถทำลายพิษในร่างกายได้หมด เอาเป็นว่าไม่ถูกกัดเลยจะเป็นดีที่สุดครับ

อีกวิธีที่ทางข่าวได้แจ้งให้กับทางประชาชนที่ตื่นตระหนกคลายความหวาดกลัวได้ก็คือว่า การรักษาผู้ที่ถูกกรีนแมมบ้ากัดไม่จำเป็นจะต้องรับเซรุ่มก็สามารถรอดตายได้ถ้ามาถึงมือหมอได้ทันการและเลือกที่จะรักษาที่อาการแต่ละอย่าง กล่าวง่ายๆคือการรักษาที่ปลายเหตุ คือสังเกตจากอาการที่เกิดขึ้นว่าเป็นอะไรแล้วแก้อันนั้น เช่น ถ้าถูกงูกัดแล้วหายใจไม่ออก ก็ให้อ๊อกซิเจนซะเลย หัวใจหยุดเต้นก็ปั๊มมันขึ้นมาใหม่ให้เต้นใหม่ ฉีดยากระตุ้นอะไรแบบนั้นไป ซึ่งถามหน่อยว่าใครจะกล้าเสี่ยงละครับ เอาเป็นว่า อย่าถูกกัดเลยดีสุด (อีกแล้ว) จริงๆแล้วมันมีวิธีรักษาแนวทางนี้เยอะมาก แต่ถ้าบอกหมด บล็อกนี้อาจจะเยิ่นยาวไปจนถึงทวีปแอฟริกาได้ จึงขอเอาแค่แบบเบาๆไปละกัน (วู้ดดี้รับปากด้วยว่าจะไม่เอารูปของผู้ที่ถูกงูกัดมาให้ดูด้วย เพราะว่ามันยากเกินจะรับได้ก่อนเวลารับประทานอาหารได้จริงๆ)

เรื่องของอุปนิสัยของงูเขียวตัวนี้ก็ไม่เข้าขั้นว่าดุร้าย จะต่อสู้ในกรณีที่ถูกรบกวนจริงๆ ไม่เหมือนญาติร่วมสกุลแต่สนับสนุนคนละสี คือเจ้า Black Mamba งูโลงศพสีดำ ที่พิษรุนแรงติด 1 ใน 10 ของโลกชนิดที่พิษของงูเห่าหรือเฮียจงอางยังไม่ติดแม้แต่ฝุ่นพี่เค้า เพราะฉะนั้นวู้ดดี้เชื่อว่า ถ้าประจันหน้ากับงูเขียวแมมบ้าเข้าจริงๆ คงต้องตั้งสติให้ดีก่อนแล้วค่อยๆมูนว็อกเกอร์ถอยหลังออกไปในระยะปลอดภัยดูน่าจะเหมาะสมกว่าที่ดันทุรังคว้าอาวุธใกล้มือหวังที่จะประทุษร้ายเค้าเอาซะมากกว่า อย่าลืมนะครับว่าเซรุ่มในประเทศไทยยังไม่มีหรือแม้ว่ามีแล้วแต่ถ้าไปถึงมือหมอไม่ทันก็อาจจะไปเยี่ยมพี่สตีฟ จ็อบส์เอาได้ง่ายๆ พอเข้าสู่ระยะปลอดภัยแล้ว (ประมาณ 1-2 เมตร) จะตัดสินใจโกยหรือว่าหวังดีแจ้งทางหน่วยปราบปรามเฉพาะทางมาดำเนินการจับก็จะเป็นการขอบพระคุณต่อมนุษย์โลกมากๆ
Black Mamba (Dendroaspis polylepis) ที่ได้ชื่อนี้เพราะสีของลำตัวและภายในปากที่เป็นสีดำสนิท

เกริ่นกันมาซักพักละ เรามาเข้าเรื่องข่าวที่ดังกระหึ่มชั่วข้ามคืนกันดีกว่าว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร ตอนที่ได้รู้เรื่องครั้งแรกว่ามีงูกรีนแมมบ้าหลุดมา ยอมรับเลยครับว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะว่าตัววู้ดดี้ได้คลุกคลีอยู่ในวงการสัตว์เลื้อยคลานอยู่บ้างและได้รู้จักกับผู้ใหญ่ที่คร่ำหวอดอยู่ก็เลยพอจะรู้และคาดเดาได้ว่า งูสายพันธุ์แปลกที่ไม่ใช่งูตลาดซักเท่าไหร่เนี่ย มันไม่ค่อยมีเข้ามาในเมืองไทยซักเท่าไหร่ แต่ที่พูดมาเนี่ยไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีนะครับ มันมีแต่ว่ามันมีไม่เยอะและส่วนมากคนที่มีในครอบครองเนี่ย เค้าไม่ค่อยที่จะเอามาเปิดเผยซักเท่าไหร่ สาเหตุก็แน่นอนอยุ่แล้วว่า คนโดยส่วนมากรับสัตว์ประเภทนี้ไม่ค่อยได้ แถมนี่มีต่อมพิษพ่วงท้ายมาอีกด้วย มันคงทำใจรักได้ลำบากซะเหลือเกิน หลังจากที่ทราบเรื่องมาคร่าวๆก็ลองเช็กข่าวดูบ้างเป็นระยะๆว่าจริงเท็จมากแค่ไหน ก็เลยได้รับรู้เรื่องตลกๆของนิสัยคนไทยอีกอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ที่ว่ามีนิสัยรับข่าวสารเพียงด้านเดียวก็ปักใจเชื่อและโจมตีต่างๆนานา อีกทั้งลุกลามเหมารวมด่าทอหมดไปทั้งวงการเลี้ยงสัตว์ประเภทเลื้อยคลานไปซะหมด โดยส่วนตัวก็เข้าใจเหมือนกันนะครับว่างูเงี้ยวเขี้ยวขอมันอาจจะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ ถ้าขาดความรอบคอบหรือประมาทเลินเล่อในการดูแล แต่เชื่อเถอะครับ ในความเป็นจริง ทุกๆคนคงต้องรักชีวิตตัวเองหมดละ แล้วเจ้าของงูก็เป็นคนที่มีโอกาสที่จะรับพิษของสัตว์เลี้ยงของตัวเองมากที่สุดแล้วคุณคิดว่าเค้าจะประมาทจนถึงขนาดปล่อยให้งูที่ตัวเองเลี้ยงหลุดออกมาได้ง่ายขนาดนั้นเลยจริงหรือ แถมข่าวแจ้งมาว่า หลุดมาทั้งหมด 15 ตัว เป็นตัวพ่อแม่พันธุ์และลูกๆทั้งหมด ฟังแล้วอึ้งกิมกี่ครับ ถ้าประมาทขนาดให้หลุดมาทั้งหมดครอบครัวขนาดนี้ คนๆนี้คงไปเฝ้าเง็กเซียนตั้งนานก่อนที่น้ำจะท่วมกรุงแล้วครับ อย่าลืมนะครับ โดยปกติก่อนที่จะหามาเลี้ยง เจ้าของคงทำการศึกษาพฤติกรรมการเลี้ยงของมันมาบ้างละครับ แถมตราหัวกระโหลกไขว้ที่เป็นตัวแทนของพิษร้ายก็ตีตราอยู่กลางหน้าผากของเจ้างูตัวงามตัวนี้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นผมจึงไม่ค่อยเชื่อซักเท่าไหร่ว่ามันจะหลุดออกมาเยอะขนาดนั้นจริงๆ


ตัวอย่างวีดีโอของคนเลี้ยงที่มีการป้องกันและดูแลขั้นเทพ ไม่อยากบอกว่าตัวอื่นๆนอกจากกรีนแมมบ้า พิษแรงกว่ามันทั้งนั้น


อย่าลืมว่าสังคมโซเชียลเน็ทเวิร์คตอนนี้มันมีทั้งบาปบุญนะครับ ข่าวต่างๆที่โพสกันลงไปให้อ่านกันก็อาจจะต้องทำการฟังหูไว้หูกันก่อน เราควรเลือกที่จะเชื่อครึ่งเพื่อป้องกันและไม่เชื่อครึ่งเพื่อไม่ให้หลงเตลิดไปกับกระแสทั้งหลาย มันมีหลายๆกรณีที่คนทั่วๆไปเลือกที่จะเข้าไปต่อว่าและกดดันให้คนใดคนหนึ่งออกมารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดโดยที่ไม่สนใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จากข่าวได้มีการเอ่ยอ้างถึงเวปไซด์ชื่อดังของวงการสัตว์เลื้อยคลานว่ามีผู้รู้หรืออาสาที่จะไปจับงูดังชนิดนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ากระแสชุมชนพุ่งตรงเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆนานา อีกทั้งสืบเสาะว่าคนที่อยู่ในเวปนี้เป็นพวกที่ไม่ปกติ เหมารวมว่าเลี้ยงสัตว์มีพิษด้วยกันทั้งหมด ทั้งๆที่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นของผู้ที่เลี้ยงทั้งหมดเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์มีพิษ และสาเหตุที่เลี้ยงก็เพื่อที่จะศึกษาพฤติกรรมของมัน อันอาจจะเป็นประโยชน์กับปุถุชนในอนาคตด้วยซ้ำ จากผลกระทบที่ฝูงชนเข้าไปเยี่ยมชม เสาะแสวงหาหรือด่าทอ ก็ทำให้เซอร์เวอร์ของเวปนี้โอเวอร์โหลดเกินไปจนต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ก็ยังไม่วายมีคนหาว่าปิดเวปหนีอีก เอาเข้าไปนั่น 5555

แค่คิดกันเล่นๆนะครับ ถ้าเกิดสมมุติว่าข่าวนี้เป็นข่าวลวงขึ้นมาเพราะความสนุกสั้นๆของคนบางคนโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผู้อื่นว่าจะได้รับความเดือดร้อนมากซักเท่าไหร่ สังคมไทยเราควรจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกดีและแถมท้ายว่าเราจะเรียกคืนสิ่งที่เสียไปแล้วกลับคืนมาได้อย่างไร คิดง่ายๆครับ เหตุการณ์นี้ทำให้คนเราหวาดระแวงกับสิ่งมีชีวิตสีเขียวทุกชนิดไปแล้ว ถึงขั้นมีการเอารูปงูเขียวหางไหม้ที่โดนจับได้มาโพสบอกว่าเป็นงูกรีนแมมบ้า (มันไปกันใหญ่แล้ว ยิ่งทำให้เข้าใจผิดกันเข้าไปใหญ่อีก) หรือเลือกที่จะตีงูทุกชนิดที่สีเขียวหรือสงสัยว่าอาจจะมีพิษ กลายเป็นว่ามีผลต่อระบบนิเวศน์อีก ทุกวันนี้เราก็ทำร้ายธรรมชาติมากพอแล้ว จนธรรมชาติต้องส่งสัญญาณเตือนเรามาในรูปแบบน้ำท่วมแล้วว่าเราต้องเจียมตัวบ้างแล้วนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นจะเอาคืนหนักทั้งต้นและดอกเลยนะ มนุษย์ทั้งหลาย!!! มีอีกที่บางคนอาจจะหมดโอกาสทำมาหากินเพราะเหตุที่เวปไซค์ต้องปิดตัวลงไป ไม่สามารถขายของที่ลงทุนซื้อมาแล้ว หรือจะเป็นกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องสั่งเซรุ่มของงูชนิดนี้มาจากเมืองนอกในราคาถีง 300,000 บาท โดยที่ยังไม่รู้เลยว่ามันมีตัวตนรึเปล่าในธรรมชาติ แล้วอย่างงี้ใครจะรับผิดชอบดีครับ อย่าลืมนะครับว่าตอนนี้ประเทศของเราอยู่ในช่วงที่ต้องช่วยเหลือกัน เงิน 300,000 นี่กอบกู้ได้หลายครัวเรือนเลยนะครับ (ถ้าไม่โกง555)

มันน่ารักที่มีคนมาทำภาพให้เห็นได้ชัดจะได้ไม่เข้าใจผิดไปทำร้ายงูพื้นบ้านของเรา ที่น่ากลัวคือมันใกล้สูญพันธุ์ซะแล้วด้วย ดูกันชัดๆว่างูเขียวกาบหมากจะทาอายไลน์เนอร์ครับ ไม่เหมือนกรีนแมมบ้า หน้ามันเกลี้ยงๆ ดูเป็นตัวร้ายมากกว่า
อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องที่ถนัดเป็นพิเศษเลยเขียนเยอะไปซะหน่อย แต่ถ้าหลายๆคนชอบอ่านกัน วู้ดดี้จะเอาเรื่องสัตว์โลกของเรามาให้อ่านกันอีกเรื่อยๆครับ สุดท้ายก่อนที่จะปิดเรื่องงูน้อยชนิดนี้ให้สงสัยกันต่อไปว่ามีตัวตนจริงๆหรือเปล่า ก็อยากจะฝากให้มี "สติ" ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงูหรือว่าเรื่องที่ต้องอพยพน้ำท่วมก็เถอะ เพราะว่าสติจะทำให้เราคิดได้และตัดสินใจได้ถูกต้องกว่ามั่วแต่นั่งลนลานอ่านสคริปอยู่นั่นละครับ ^___^

ท้ายสุดๆจริงๆวู้ดดี้ฝากเรื่องที่งูตลกๆที่อาจเข้าใจกันผิดๆไว้ด้านล่างนี้แถมท้ายด้วยตาราง 10 อันดับงูพิษของโลกมาให้ลองดูกันได้ครับ

Most Venomous Land Snakes (Ernst and Zug et al. 1996)[1][2]
Snake Region SC LD50
Inland taipan Australia 0.025 mg/kg
Eastern brown snake Australia 0.0365 mg/kg
Coastal taipan Australia, New Guinea 0.106 mg/kg
Many banded krait China, Taiwan, Burma, Laos, Vietnam 0.108 mg/kg
Peninsula tiger snake Australia 0.131 mg/kg
Saw-scaled viper Asia; Indian subcontinent 0.151 mg/kg
Black Mamba Sub Saharan Africa 0.185 mg/kg
Western tiger snake Australia 0.194 mg/kg
Philippine cobra Philippines 0.20 mg/kg
Tiger rattlesnake Northwest Mexico, Southwest U.S. 0.21 mg/kg

จะเห็นได้ว่าเค้าวัดกันเป็นปริมาณพิษกันเลยทีเดียว แถมส่วนใหญ่สถิตย์กันอยู่ที่ฝั่งออสเตเรียทั้งนั้นเลย จะมีใกล้เราหน่อยก็แค่ที่ลาว เวียดนามเอง

- บางคนว่าการที่ตัดสินว่างูมีพิษหรือไม่มีพิษให้ดูที่เขี้ยวคู่หน้าหรือจากแผลที่กัด จะมีรอยเขี้ยวสองรูชัดเจน คือตกลงเราต้องโดนกัดก่อนใช่ไม๊ถึงจะตัดสินใจได้ว่ามันมีพิษรึเปล่า ????

ภาพของงูพิษ


รูปเทียบหัวของงูมีพิษและไม่มีพิษ
 - งูจงอางกับงูเห่าไม่ใช่ศัตรูทางธรรมชาติของงูกรีนแมมบ้า เพราะฉะนั้นอย่าเชื่อที่มีคนโพสว่าอย่าไปตีงูเห่ากับจงอางเพราะว่ามันจะคอยไปกินงูกรีนแมมบ้าเป็นอาหาร ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรแค่ที่อยู่อาศัยก็อยู่กันคนละส่วนแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าคนไม่โดนกรีนแมมบ้ากัดแต่จะโดนงูเห่าของไทยเราเนี่ยละกัดเอง

- ตามที่ได้เอ่ยไว้แล้วข้างต้นว่า โดยธรรมชาติแล้วงูไม่คิดที่จะทำร้ายคนอยู่แล้ว เนื่องด้วยขนาดของเราใหญ่กว่ามันมาก ถ้าไม่ได้จนตรอกหรือว่าถูกทำร้ายก่อน ลองนึกสภาพว่าคุณเจอยักษ์ขนาดใหญ่กว่าเราสองเท่า คุณจะอยู่ให้ยักษ์กระทืบเราติดดินหรือ วู้ดดี้ว่าเราไปกังวลเรื่องจระเข้จะดีกว่านะ เพราะขานั้นถ้าหิว เค้าก็เลือกที่จะทำร้ายเราเป็นอาหารอยู่แล้ว (พูดแล้วเดี๋ยวพูดเรื่องจระเข้คราวหลังดีกว่า)


 - อย่าเชื่อที่ว่างูพิษเลื้อยช้า งูไม่มีพิษเลื้อยเร็ว เพราะว่างูกรีนแมมบ้าเคลื่อนไหวได้เร็วประมาณ 8 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสูสีคนวิ่งกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าวิ่งหนีทัน วู้ดดี้ว่าเลือกที่ค่อยๆถอยออกช้าๆ ดูจะเหมาะกว่า

Green Mamba ตอนขู่พร้อมฉก
 อย่าลืมนะครับ "สติ" ช่วยให้หลายๆคนรอดชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และหลายๆคนก็เสียชีวิตเพราะไม่มี "สติ" มาแล้วนับไม่ถ้วน

โชคดีครับ

วู้ดดี้ เกิดมาฉก
7 Nov 2011

Ref:
http://en.wikipedia.org/wiki/Venomous_snake
http://en.wikipedia.org/wiki/Black_Mamba
http://en.wikipedia.org/wiki/Eastern_green_mamba
http://en.wikipedia.org/wiki/Western_green_mamba
http://www.ces.ncsu.edu/gaston/Pests/reptiles/venompix.htm
http://visual.merriam-webster.com/animal-kingdom/reptiles/snake/morphology-venomous-snake-head.php
http://www.thairath.co.th/content/edu/214338






วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Army of Darkness (1993) อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการเอฟเฟกขั้นเทพพพพพ


ถ้าจะให้พูดถึงเหตุการณ์แรกเริ่มของบทความนี้ คงต้องเสียเวลานั่งย้อนหลังกลับไปเกือบจะประมาณสองทศวรรษได้ที่วู้ดดี้ได้มีโอกาสเสพยอดมหากาพย์ตอนต่อจากหนังยอดฮิตสมัยนั้นของ Raimi อย่าง The Evil Dead ที่ทำออกมาให้ประชาชนชาวโลกได้ยลโฉมกันถึงสองภาค คือถ้าจะว่าไปแล้วภาคนี้ก็เหมือนว่าจะเป็นภาคสามนั่นละ ซึ่งนั่นคงจะพอช่วยการันตีได้อยู่ว่ามันน่าจะมีดีอะไรซักอย่างละน่าที่ทำให้ผู้สร้างถึงกล้าลงทุนทำหนังแนวแบบนี้ที่ว่ากันว่าน่าจะทุนการสร้างสูงอยู่เหมือนกันในสมัยนั้น (ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ทุนในการสร้างหนังเรื่องนี้ไม่ได้สูงอะไรเลย สังเกตได้จากที่ตัวแสดงหัวกะโหลกทั้งหลาย บางครั้งดูอวบอั๋นขึ้นมาเฉยๆเพราะว่าใช้คนมาใส่ชุดเอาเลยแบบแมนๆครับ แต่อย่างว่าครับสมัยนั้นได้แค่นี้ก็ สุโค่ยมากแล้ว) ลองจินตนการดูนะครับว่า ถ้าคุณเป็นเด็กผู้ชายที่มีขนาดหัวยังไม่ค่อยจะใหญ่ไปกว่าลูกบอลเบอร์ห้า แล้วได้มีโอกาสดูหนังไล่ล่าฆ่าฟันซอมบี้ที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านรูป แสง สี เสียง ที่สุดยอดมากๆในขณะนั้น แน่นอนที่คุณจะต้องปล่อยอารมณ์ไหลไปตามกระแสของหนัง พร้อมทั้งร่ายรำบทเพลงการบู๊ล้างผลาญ ผสมผสานกับการเอาใจช่วยพระเอกของเรื่องให้ปราบปรามศัตรูร้ายให้หมดสิ้นไป ถ้าจะให้พูดกันตามตรงนั้น ผมจำเนื้อเรื่องอะไรของหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลยครับ จำได้เพียงฉากที่พระเอกกระโดดขึ้นจากบ่อน้ำที่ถูกผลักตกลงไปแล้วยกมือขึ้นสวมเข้ากับเลื่อยไฟฟ้าอาวุธคู่กายเพื่อที่จะป้องกันตัวเองจากผีร้าย (จะเรียกว่าอาวุธคู่กายได้รึเปล่าเนี่ย เพราะเห็นเลื่อยไฟฟ้าบ้าเนี่ย ออกมาอยู่ไม่เกินสามตอน) เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะความทรงจำเรื่องต่างๆที่พุ่งผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เรื่องราวในตอนเด็กๆบางช่วง มันถูกกระแทกหล่นไปบ้างในฐานที่หน่วยความจำในสมองมันมีขนาดที่ค่อนข้างจำกัด เพราะฉะนั้นวู้ดดี้จึงไม่ลังเลที่จะหยิบดีวีดีแผ่นออกมาจากชั้นวางแทบจะทันทีที่เห็นหน้าปกเพื่อที่จะมารื้อฟื้นความทรงจำวัยเด็กกันซะหน่อย

วินาทีก่อนที่จะดูหนังรำลึกชาติเรื่องนี้ วู้ดดี้ตัดสินใจที่จะพูดกับตัวเองซะก่อนหนึ่งเรื่องเพื่อที่จะได้เพิ่มอรรถรสในการดูหนังว่า จะไม่มีอคติกับบรรดาเอฟเฟกขั้นเทพในสมัยก่อนและจะไม่มีการเปรียบเทียบอะไรกับปัจจุบันโดยเด็ดขาด อีกทั้งจะต้องพยายามบีบๆนวดๆอายุสมองของตัวเองให้กดลงไปอยู่ที่วัยกำลังเจริญเติบโตให้จงได้เพื่อที่จะรำลึกชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และแล้วหนังเรื่องนี้ก็ได้ฉายขึ้นอีกครั้งต่อหน้าต่อตาพร้อมทั้งได้สอนสั่งให้วู้ดดี้ได้เห็นถึงสัจธรรมของการเจริญเติบโตของวงการภาพยนตร์โลกเลยทีเดียว (อาจฟังดูเว่อร์ แต่มันตื้นตันใจจริงๆ) เนือ้หาหนังยังเหมือนเดิมคือ พระเอกถูกย้อนยุคกลับไปที่โลกเก่าสมัยอัศวินโบราณ แต่มันไม่ชิลขนาดนั้นนะซิ เพราะว่ามีกองทัพปีศาจที่ออกมาจากหนังสือเวทย์มนต์บ้าคอยอาละวาดและตามเสาะหาหนังสือเล่มนี้เพื่อที่จะครอบครองให้ได้เพราะเชื่อว่าถ้าครอบครองแล้วจะได้ครองโลก เป็นไงครับ ฟังแค่นี้ก็เดาเรื่องได้เกือบหมดแล้วละซิ แต่ขอโทษครับอย่าลืมว่าเราจะมีอคติไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงชมต่อไปจนจบ เพราะว่าจะมีฉากจบที่เป็นไฮไลท์หักมุมแบบคันๆให้มึนเล่นๆ (อันนี้ต้องดูเองนะครับ) มาพูดถึงเรื่องเอฟเฟ็กหรือCG ทั้งหลายกันดีกว่า เพราะว่าเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ปล่อยของมาเยอะทีเดียวถ้าเทียบกับหนังสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกองทัพหัวกะ โหลก คนตัวเล็ก เอฟเฟ็กแต่งหน้าผี โอ๊ย!! ตราตรึงครับ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องระเบิด ปืนไฟ ธนูทั้งหลาย ขนมาหมด มีการทำรถแบบพิเศษติดกังหันเหล็กคอยฟันบรรดาซอมบี้กระโหลกด้วย เป็นไงครับ จินตนาการพี่เค้า บรรเจิดมะ เรื่องการดำเนินเรื่องก็มีการแฝงมุมตลกแบบไม่กั๊กกันเลย ทั้งท่าทางการกวนประสาทของพระเอกหนุ่ม (Bruce Campbell) หรือ แม่ทัพผีตัวก็อปปี้พระเอกอีกก็ฮามาก ดูหนังอย่าเครียดครับ เอามันส์ดีกว่า (นี่ไม่กล้าจินตนาการว่าถ้ามีภาคสี่ มันคงกลายเป็นหนังตลกแบบเต็มตัวไปเลยทีเดียวเพราะว่ายิ่งทำยิ่งตลก ไม่มีการหลอนเหมือนภาคแรกๆซะแล้ว) โดยส่วนตัวไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นจะคิดเหมือนกันรึเปล่า ที่เวลากลับไปดูหนังเก่าทีไร มันจะเหมือนมีกลิ่นๆของหนังสมัยนี้แฝงอยู่กรุ่นๆ ประมาณว่า คนสร้างหนังสมัยนี้มันก็ได้แรงบรรดาลใจมาจากพวกหนังสมัยก่อนทั้งนั้นละ ทั้งจากฟากตะวันออกตะวันตก โลกเราสมัยนี้มันแคบละครับไอ้บรรดาหนังเอเชียหนังฝรั่งมันก็ผสมๆกันหมดแล้ว มีอย่างที่ไหนสมัยก่อนมีการยืนตั้งท่าซ้อมฟันทวน มันช่างเหมือนหนังจีนกำลังภายในของเราไม่มีผิดเพี้ยน แต่เชื่อมะว่า ฉากนี้เป็นฉากที่ทำให้วู้ดดี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแบบไม่เกรงใจข้างบ้านเลยทีเดียว เอาเป็นว่าสปอยล์เรื่องนี้ละ แหม นี่มันหนังแห่งความทรงจำสมัยเด็กกันเลยทีเดียวนะ ไปหาดูกันครับ ไม่ผิดหวังหรอก อย่างที่บอกแต่ตอนต้นแล้วว่าอย่าคิดมากกกกก

ปล. ดูจบแล้วมาสะดุดที่หน้าปกว่า อีตา Reimi มันสร้างหนังเรื่อง Spiderman ด้วยเหรอ ก็เลยรู้ทีหลังว่าเฮียเค้าสร้างชื่อมาจากเรื่องนี้ แล้วได้รับเลือกให้กำกับ Spiderman หมดทั้งสามภาคเลยครับ เรียกว่าได้ดีเพราะซอมบี้กันเลยทีเดียว เจ๋งป่ะละ

ย้อนเวลาไป ย้อนเวลามา ตกลงได้แฟนมันทุกยุค 555
วู้ดดี้ เกิดมาคุ้ย
24 July 2011

Behind The Songs : The Story by เอิ้น พิยะดา เติมความหวานเข้าหัวใจ



ช่วงนี้ท็อปฟอร์มโดยการอ่านหนังสือเฉลี่ยเล่มละวันครึ่ง เลยได้มีโอกาสมาบ่นให้ฟังๆกันครับ วันนี้เอาแค่แบบเบาๆละกัน เพราะว่าเล่มนี้ค่อนข้างเป็นเล่มที่เก่าแล้วเหมือนกันแต่เราดันเชยหยิบมาอ่านช้า เล่มนี้ก็ตามหัวเรื่องเลยครับว่าเป็นเรื่อง Behind The Songs ของหมอเอิ้น พิยะดา หมอสาวหน้าใส แต่ดันแต่งเพลงได้ ตอนที่รับรู้เรื่องของผู้หญิงคนนี้ครั้งแรก บอกได้คำเดียวว่าอึ้งครับ ว่าอาชีพหมอมันไปด้วยกันได้ไงหว่ากับการแต่งเพลง งงครับ สารภาพครับว่าไม่ได้มีติ่งก้อนความคิดจินตนาการได้เลยว่าหมอแต่งเพลงคนนี้จะหน้าตาละเมียดละไมจิ้มลื้มน่ารักซะด้วยซิ ณ จุดนี้ยิ่งทำให้ประหลาดใจเข้าไปใหญ่เลย จากปมเหตุที่กล่าวไว้ จึงไม่รู้สึกเสียดายที่จะหยิบหนังสือเล่มแรกของเธอผู้นี้มาประดับเนื้อสมองของเราเกี่ยวกับเรื่องราวของเธอเลย

การจะพูดถึงหนังสือแนวประเภทนี้บอกได้เลยครับว่ามีแพทเทริน์ไม่เยอะนักหรอก เช่น ดี อ่านง่าย น่าสนใจ ให้ความรู้ ไม่ดีเลย จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่สำหรับเล่มนี้ก้คงต้องตามกฎสามัญการเขียนไปเช่นกัน เพราะว่ามันเป็นหนังสือที่อ่านง่ายและน่ารัก มีการเสนอมุมมองหลายๆด้านของผู้เขียนที่ทำให้กล้ามเนื้อข้างปากฉีกแยกจากกันได้ หรือบางตอนก็ทำให้เรารู้สึกหดหู่จนต้องมองย้อน สะท้อนถึงใครบางคนที่เราเคยละทิ้งเค้าไปรึไม่ จึงอยากบอกว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้จึงไม่น่าเสียดายเวลาที่จะปล่อยจินตนาการไปตามเสียงเพลงของเธอผู้นี้เลย ไม่แน่นะครับคุณอาจจะแต่งเพลงได้ซักเพลงหนึ่งหลังจากอ่านจบก็ได้

อยากจะหยิบยกตอนๆหนี่งในเล่มที่มีการพูดถึง คำจำกัดความเรื่องความรักของแต่ละคน โดยผู้ที่ให้ทั้งหลายก็เป็นคนที่เราๆคุ้นหูคุ้นตากันทั้งนั้น มีหลายๆข้อความที่กินใจและไม่นึกว่าจะมาจากความคิดของคนๆนั้น ยกตัวอย่างเช่น

“ความรักคือสิ่งที่ผู้คนพยายามแสวงหา หรือสรรหาความหมายมาอธิบายมัน โดยหลงลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญกว่า คือการรักษามันไว้ให้ได้ต่างหาก”
น้าเน็ก – เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา (พิธีกร)

หรือว่าจะเป็น

“ความรักก็เหมือนอาหาร เราจะเห็นว่าอาหารที่เราทานกันอยู่ทุกวันเนี่ย จะมีรสชาติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะปรุงอาหารให้ออกมามีรสชาติยังไง บางคนชอบเปรี้ยว บางคนชอบหวาน ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนไป เหมือนกับความรักที่สามารถทำให้เรามีหลากหลายอารมณ์ได้ตลอดเวลา ทั้งสุขใจ ทุกข์ใจ เหงา เศร้า เสียใจ ดีใจ ร้องไห้ มันขึ้นอยู่กับตัวเราเองนั่นแหละว่า จะทำยังไงให้ความรักของเราออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด อยู่ที่ตัวเราเอง”

“ความรักมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบเพื่อน แบบคนรู้จัก แบบคนที่เราเคารพรัก แบบคนรู้ใจ แบบคนรัก ก็อยู่ที่เราอีกนั่นแหละว่าเราจะรักษาความรักในแต่ละรูปไว้ไดนานแค่ไหน ผมว่ามันอยู่ที่การปรุงแต่งความรักของเราครับ”
เมธี อรุณ (นักร้องวงลาบานูน)

ขณะที่อ่านคำนิยามแสนซึ้งของแต่ละบุคลากรที่มีชื่อเสียงแต่ละคน ผมก็ต้องสะดุดกึกกับคำนิยามสุดเท่อันนึงครับ แนวทางการนำเสนอคำนิยามแบบนี้ อาจจะจำเป็นสำหรับบางโอกาสเหมือนกันนะครับ คำนิยามนั้นกล่าวเอาไว้ว่า

“ความรักคือสิ่งที่นิยามไปก็ไม่มีประโยชน์”
พี่ป้าง – นครินทร์ กิ่งศักดิ์ (นักร้อง, นักแต่งเพลง)

ผมว่าพี่เจ๋งวะ พี่ป้าง!!!!

รักล้นโลกครับ

วู้ดดี้ เกิดมารัก
22 July 2011

ธรรมะ ทำไม่ยาก (อ้างอิงจากหนังสือ “สงสัยมั้ย ? ธรรมะ” ของ Chayajit)


ข้าพเจ้า นายวู้ดดี้ ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่า โดยตามตรงแล้วไม่ได้เป็นคนที่อินหรือว่ามุ่งเน้นเข้าหาทางสายธรรมอันบริสุทธิ์เท่าที่ควรตามหลักที่ถูกผู้หลักผู้ใหญ่พร่ำสอนมาทั้งชีวิต แต่เหตุบังเอิญอะไรหลายๆอย่างมันบรรจบมวลรวมมาให้นั่งอยู่หน้าหนังสือเล่มนึงที่สะดุดตาสะดุดใจทันทีที่ปรายตาไปมองมันเข้า ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นของหน้าปกที่รู้สึกว่าสะกิดต่อมคุ้นเคยอย่างทุกครั้งเพราะว่าเป็นลายเส้นของนักเขียนการ์ตูนในดวงใจนาม “เดอะดวง” หรือจะเป็นสีสันของปกที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นหนังสือธรรมะปกติที่ยามหยิบจับขึ้นมาเมื่อไร ต่อมความกระตือรือร้นจะถูกก้อนเนื้อที่ถูกเรียกว่าความง่วงเข้ามาแทนที่ทันที แต่มุมมองภาพลักษณ์ดูน่าอ่านและสามารถจะอ่านจบได้ในเวลาไม่นาน เหมาะกับสถานการณ์ช่วงที่ต้องรออะไรซักอย่างอยู่นั่นเอง ทันทีที่คิดได้อย่างนั้นสติสัมปัญชัญญะในการใช้เงินก็ขาดสะบั้นพร้อมมือที่กำเงินมูลค่า 150 บาท เพื่อแลกกับความสุขทางใจมานั่นเอง ไม่เสียดายกับสิ่งตอบแทนที่ทางผู้เขียนและผู้วาด (เรียกงี้ละกัน จะได้พ้องกัน) อยากจะนำเสนอให้กับสังคมไทยในปัจจุบันนี้ หนังสือเล่มนี้คงเห็นจากรูปที่เอามาลงให้เห็นแล้วว่า ชื่อ “สงสัยมั้ย ? ธรรมะ”

จากที่อ่านจบไปแล้วสิ่งแรกที่คิดในใจเลยว่า คนเขียนคนนี้ต้องได้บุญมหาศาลอยู่เหมือนกัน คิดง่ายๆว่าการที่ถ่ายทอดเรื่องธรรมะให้บุคคลผู้อื่นก็ถือว่าเป็นบุญอันประเสริฐเท่าไหร่แล้ว แต่นี่คิดที่จะส่งผ่านต่อเข้าไปในสมองก้อนย่อมๆของวัยรุ่นไทยเนี่ย ผมว่าอันนี้ซิเจ๋ง เพราะมีหลายครั้งที่มองว่า การสอนธรรมะให้ผู้ที่รู้อยู่แล้วมันจะมีผลดีมากกว่าการที่พยายามสอนให้ผู้ที่ยังไม่รับรู้มากเท่าที่ควรกว่ารึเปล่า ถ้าพูดตามหลักการตลาดเปรียบเสมือนกันเปิดกลุ่มเป้าหมายใหม่ เปิดตลาดใหม่เพื่อให้ลองสินค้าของเรา ส่วนกลุ่มเดิมก็ยังมีสินค้าตัวเก่าที่ยังคงมีศักยภาพเพียงพอที่จะดึงให้กลุ่มเป้าหมายเดิมนั้น ไม่คิดเปลี่ยนใจไปได้ ดังนั้นผมจึงคิดว่าการที่เริ่มให้วัยรุ่นไทยได้ลองเสพธรรมะที่เริ่มจะห่างหายไปจากสังคมปัจจุบัน ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและโดนใจ คงจะทำให้วัยรุ่นไทยไม่เกิดความรู้สึกต่อต้านหรืออคติ พร้อมทั้งไม่รู้สึกเก้อเขินที่จะปฎิบัติหรือบอกต่อให้หมู่เพื่อนๆทำตามด้วย ในสังคมไทยในปัจจุบันนี้คงไม่ได้คาดหวังขนาดที่จะต้องเป็นคนดีปานจะบรรลุโสดาบันหรอกครับ ขอเพียงแค่ไม่ต้องทำความชั่วมากขึ้นหรือไม่ทำเลยก็น่าอยู่ขึ้นเยอะละครับ

อีกข้อของความชาญฉลาดของผู้เขียนคือมีการพูดถึงปริมาณการได้บุญเปรียบเทียบกับสิ่งที่ลงทุนทำลงไป เพราะว่าคงปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ทุกวันนี้คนเรามองถึงแต่สิ่งที่จะต้องได้รับกลับมาจากสิ่งที่ลงทุนลงไป ผมไม่ได้ตำหนิหรือคิดแง่ลบแต่กลับเป็นเข้าใจในสังคมปัจจุบันที่แก่งแย่งชิงดีกันซะมากกว่า ว่าสิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ระดับจิตใจของคนมันลดต่ำลงไปเรื่อยๆแต่จากที่ได้อ่านมากลับลายเป็นว่าการที่จะได้บุญกุศลมากกว่าขั้นตอนใดๆก็ตาม กลับได้มาจากสิ่งที่แทบจะไม่ต้องลงทุนหรือลงแรงอะไรเลย ซึ่งนี่จะเป็นตัวกระตุ้นที่ดีที่จะทำให้คนเราเริ่มที่จะอยากมีธรรมะอยู่ในใจได้ ดังนั้นวู้ดดี้จึงอยากขออนุญาติแบ่งปันเรื่องบางส่วนมากให้อ่านกันดีกว่า

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การให้ทานที่ดี จะต้องประกอบสิ่งที่ให้ทานต้องบริสุทธิ์ดี เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์ดี แต่แม้นว่าทั้งหมดจะบริสุทธิ์ดีแล้ว ทานนั้นจะมีผลมากหรือน้อยสามารถเปรียบเทียบได้เป็นลำดับดังต่อไปนี้ คือ

1. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับทำทานให้มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลย แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

2. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรม แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

3. ให้ทานแก่มนุษย์ที่มีศีล 5 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล 8 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

4. ให้ทานแก่มนุษย์ที่มีศีล 8 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่ผู้ที่มีศีล 10 คือสามเณร แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

5. ถวายทานแก่สามเณรที่มีศีล 10 แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฎิโมกข์สังวร 227 ข้อ แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

6. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

7. ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

8. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

9. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

10. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

11. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

12. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับการถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายเพียงครั้งเดียวก็ตาม

13. ถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับการสร้างวัดถวายเป็นวิหารทาน แม้จะได้กระทำแค่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

14. การสร้างวัดถวายเป็นวิหารทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับ “การให้ธรรมทาน” แม้จะให้แค่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (การให้ธรรมทานคือการสอนธรรมะแก่ผู้อื่น ตลอดจนการพิมพ์ แจกหนังสือธรรมะ)

15. การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญไม่เท่ากับ “การให้อภัยทาน” แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม (การให้อภัยทานคือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาต ไม่พยาบาทแม้แต่ศํตรู เป็นการละความโกรธ ออกจากใจ จึงถือว่าเป็นทานที่สูงกว่าทานทั้งปวง)

จากที่พูดมายืดยาวขนาดนี้ ถ้าสังเกตได้จะเห็นว่ายิ่งระดับสเกลของบุญยิ่งสูงขึ้น การลงทุนลงแรงมันเหมือนจะยิ่งน้อยลงๆไปทุกที ยิ่งอันหลังนี่อยู่ที่สภาวะจิตใจของเราเลย เพราะว่าเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรเลย เพราะว่าเราสามารถทำได้ด้วยใจของตนเอง ส่วนที่เหลือ วู้ดดี้อยากให้ไปติดตามต่อในหนังสือเองดีกว่านะครับ เพราะว่ามันยังมีอีกหลายเรื่องที่มันลึกซึ้งมากกว่านี้อีก ส่วนที่นำมาเสนอแค่นี้ถือว่าเบาะๆมาก ยังมีขั้นการได้บุญที่อยู่ในขึ้ นกว่ามากกว่านี้อีก จนถึงขึ้นที่เรียกว่า เจริญวิปัสสนา ซึ่งก็ยังยืนยันว่า ทำได้ไม่ยาก เพราะว่าทุกอย่าง พระพุทธศาสนา สอนให้อยู่ที่จิตใจของเราเอง ควบคุมสติได้ฉันใด ทุกอย่างที่ดีก็จะตามมาฉันนั้น
อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

ฆราวาสวู้ดดี้ เกิดมาเล่า

17 July 2011
หลังวันเข้าพรรษา

Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More